ข้อห้ามที่คนใส่คอนแทคเลนส์ต้องรู้ 

ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจเพราะว่าการที่เราถูกจ้องตานั้นก็ทำให้หลายคนนั้นประทับใจเหมือนกันดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสาวๆหรือว่าหนุ่มนั้นก็แอบใส่คอนแทคเลนส์เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือว่าที่เทาๆนั้น ต่างๆนาๆให้เรานั้นเลือกมากมายให้เรานั้นมีสายตาที่ดูสวยและมั่นใจแต่คุณๆนั้นรู้ไหมค่ะว่าคอนแทคเลนส์เนี่ยเป็นตัวอันตรายต่อตาเราถึงขั้นตาบอดกันได้เลย

  1. ห้ามใช้น้ำเปล่านั้นแช่คอนแทคเลนส์ไม่ว่าจะสะอาดแค่ไหน อันนี้ต่อให้เรานั้นจะไปซื้อน้ำเปล่ายี่ห้อดีขนาดไหนนั้นก็ไม่สามารถที่จะล้างคอนแทคเลนส์ได้นะค่ะหรือว่าจะแช่ก็เหมือนกันเพราะว่าส่วนตัวนั้นเคยค่ะพอตอนเช้านั้นเราหยิบมาใส่นั้นแสบตามากจนเรานั้นต้องถอดทิ้งเลยค่ะเพราะว่าจะทำให้คอนแทคเรานั้นเสมื่อมสภาพเร็วด้วยค่ะ 
  2. ห้ามใช้น้ำเกลือแทนคอนแทคเลนส์หลายคนนั้นเข้าใจผิด น้ำเกลือนั้นไม่สามารถที่จะแช่คอนแทคเลนส์ได้เพราะว่าน้ำเกลือทำให้ดวงตาของเรานั้นแห้งแต่ว่าสามารถล้างแก้ขัดพอได้ค่ะ โดยส่วนตัวเรานั้นก็เลยลองซือมาใช้เหมือนกันเพราะว่าคิดว่าไม่เป็นไร แต่พอเรานั้นใช้ไปสักครู่หนึ่งเรานั้นสังเกตได้ว่าดวงตาของเรานั้นแห้งมากและแสบตามาก เวลาที่เรานั้นถอดออกใส่ก็เลยไปซื้อน้ำยากับเภสัช  เภสัชนั้นเขาบอกว่าห้ามใช้น้ำเกลือแช่เลยค่ะ เพราะว่าเกลือจะสะสมและทำให้ตาบอดได้ 
  3. ห้ามใส่คอนแทคเลนส์นอน  เรานั้นลองภาพดูค่ะว่าตอนที่เรานั้นหลับตาของเรานั้นแห้งเพราะว่าไม่มีน้ำนั้นหล่อเลี้ยงพอเราตื่นนอนขึ้นมาเรานั้นจะถอดออกจะถอดออกอยาก และแสบตาอย่างมากและต้องเว้นช่วงกว่าจะใส่อันใหม่ ได้ ที่สำคัญเลี่ยงต่อการขาดในตา เพราะว่าในขณะที่เรานั้นนอนเรานั้นอาจจะไปขยี้ตาจนทำให้คอนแทคนั้นเลื่อนหรือว่าฉีกขาดได้ 
  4. ไม่ควรที่จะใส่คอนแทคเลนส์เกิน 8 ชั่วโมง เรานั้นคิดว่าทุกคนนั้นน่าจะรู้เพราะว่าคนส่วนใหญ่นั้นจะใส่เกิน 10 ชั่งโมงกันส่วนมากเพราะว่าลืมถอด ขี้เกียจ ซึ่งการที่เรานั้นใส่ไปนานไม่ใช่ว่าจะทำให้ตาเรานั้นบอดเลยแต่ว่าการที่เรานั้นใส่นานทำให้ตาเราที่มีออกซิเจนและถ้าดวงตานั้นขาดออกซิเจนเป็นเวลานานๆนั้นอาจจะทำให้ตาเรานั้นบอดได้ทันเหมือนกัน 
  5. ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์เกินอายุการใช้งาน  เพราะว่าคอนแทคนั้นมีทั้งรายวัน รายอาทิตย์ และรายเดือน ดังนั้นเราต้องดูและให้ความสำคัญ เพราะว่าดวงตาของเรานั้นต้องอยู่กับไปตลอดชีวิตควรที่จะใส่ใจกันหน่อยพอหมดอายุนั้นเราควรที่จะทิ้ง 

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  ชุดตรวจซิฟิลิส

กินอย่างไรให้ไม่อ้วน

ปัญหาการกินมักจะเป็นเรื่องที่ทำให้สาวๆกังวลอย่างมากเพราะว่าจะกินอย่างไรดีให้ไม่อ้วนให้น้ำหนักคงที่เพราะสาวๆบางคนพอเห็นของกินหรืออาหารก็อยากกินแล้วโดยเฉพาะปิ้งย่าง หมูกระทะ ชาบู บุฟเฟต์ทั้งหลายที่ชอบทานกันและจะหักห้ามใจได้ยากมากๆสำหรับสาวสายกินแต่ปัญหาที่จะตามมาก็คือน้ำหนักเพิ่มขึ้น กินแล้วลงพุงและสาวบางคนต้องไดเอทหนักมากๆกว่าหุ่นจะกลับมาปังเหมือนเดิม

ดังนั้นปัญหาเรื่องการกินอาหารเป็นเรื่องสำคัญและเรื่องจุกจิกของสาวๆหลายคนอย่างมากเราจึงจะมาแนะนำว่าจะทานอาหารอย่างไรให้ไม่อ้วนแต่ไม่ต้องอดอาหารก็ยังพอมีวิธีอยู่ขึ้นอยู่กับความพยายามของตัวเราเองทั้งนั้นดังนั้นเรามาลองดูวิธีการที่จะมาแนะนำกันเลย

1.ทานอาหารให้ครบ5หมู่เน้นผักและผลไม้และอย่ารับประทานเยอะจนเกินไปเด็ดขาด

2.ดื่มน้ำเยอะๆการดื่มน้ำเยอะๆจะช่วยล้างสารพิษและสารตกค้างภายในร่างกายของเราและทำให้อิ่มไวและอิ่มได้ง่ายขึ้นด้วยเพราะน้ำจะไปเลี้ยงส่วนต่างๆในร่างกายของเรา

3.การพักผ่อนให้เพียงพอนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกันเพราะว่าถ้าเรานอนดึกก็จะทำให้เรากลับมาหิวอีกครั้งได้และการรับประทานดึกๆนั้นจะเป็นตัวเพิ่มน้ำหนักให้แก่สาวๆหลายคนเลยทีเดียวฉะนั้นการนอนให้เป็นเวลาและพักผ่อนให้เพียงพอก็ถือว่าสำคัญอย่างมาก

4.การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอและเป็นประจำจะเป็นส่วนช่วยให้ร่างกายของเรานั้นกระชับขึ้นมีภูมิต้านทานมากยิ่งขึ้นฉะนั้นสาวๆที่ทานเยอะทานหนักและชอบทานดึกๆควรจะใช้วิธีการลดน้ำหนักโดยการทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อทดแทนพลังงานกันและกัน

ที่เรานำมาเสนอนี้สาวๆลองไปทำตามกันดูได้และได้ผลที่ดีด้วยแถมประหยัดเงินไม่ต้องเสียค่าอาหารเสริมแพงๆสำหรับลดน้ำหนักอีกด้วยและวิธีนี้ถือเป็นวิธีธรรมชาติและได้ผลอย่างมากหากเรามีความขยันและความตั้งใจในการลดน้ำหนักเพื่อความสวยและหุ่นดีแถมสุขภาพดีอีกด้วยแต่สาวๆที่ต้องการจะลดจริงจังต้องทำบ่อยๆอย่างน้อยอาทิตย์ละ3-4วันแต่อย่าทานเยอะอีกทานที่พอดีถ้าทานเยอะก็ต้องออกกำลังกายเผาผลาญตามที่เรารับประทานเข้าไปเพื่อรักษาหุ่นและสุขภาพของเราให้มีสุขภาพร่างกายที่ดีและหุ่นก็จะกระชับดูดีขึ้นอีกด้วยสาวๆที่มีปัญหาในเรื่องนี้ควรลองทำกันดูอย่าพึ่งใช้ยาลดความอ้วนหรือลดน้ำหนักเด็ดเพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อตัวของเราก็ได้ฉะนั้นลองวิธีธรรมชาติดู

 

 

สนับสนุนโดย  ชุดตรวจ hiv gen4

โพรไพลีนไกลคอล สารในบุหรี่ไฟฟ้า

เอาละเรามาลงลึกเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้าบ้างล่ะ ว่ามีสารตัวใดบ้างและแต่ละตัวนั้นมีผลเสียและผลดียัง ก็ต้องเรียนบอกแบบตรงๆเลยว่า สารที่ใส่ในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้านั้น ส่วนมาแล้วจะเป็นสารที่ใส่มาเพื่อประโยชน์อะไรสักอย่าง อย่างแน่นอน แล้วมันถึงจะก่อเกิดผลข้างเคียงที่เป็นผลเสียตามมา เพราะว่าน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้านั้นเป็นอะไรที่สามารถควบคุมได้นั้นเอง เอาเป็นว่ามีน้ำอยู่แก้วนึงถ้าเกิดว่าอยากจะใส่สารอะไรเข้าไปบ้าง

เราจะอยากใส่สารที่เป็นอันตราย โดยไม่มีประโยชน์เลยหรืออย่างไรล่ะ ก็ตามนั้น และอีกอย่างหนึ่ง สารที่อยู่ในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าจึงมีสารประกอบที่น้อยกว่าบุหรี่มวนมากเพราะมันสามารถเลือกใส่เลือกเอาออกได้ แน่นอนล่ะคำว่าบุหรี่ก็ต้องตามมาด้วยสารที่สำคัญชื่อว่า นิโคติน แต่เรานั้นจะขอข้ามสารตัวนี้ไป เพราะว่าได้อธิบายไปในสารสำคัญของบุหรี่มวนแล้ว มันก็ส่งผลต่อร่างกายเหมือนๆกันแหละ เป็นสารที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียนั้นเอง 

เรามาเริ่มด้วยสารสำคัญตัวแรก นั้นคือ โพรไพลีนไกลคอล จะเรียว่าสารสำคัญก็กระไรอยู่เพราะมันคือสารสร้างควันนั้นเอง มันเป็นสารที่สามารถทำให้บุหรี่ไฟฟ้าผลิตควันออกมาได้เยอะ แต่นั้นก็ขึ้นอยู่กับส่วนผสมภายในแต่ละน้ำยาเช่นกัน เพราะบางตัวที่ใส่นิโคตินเยอะๆ ก็จะทำให้ต้องลดสารตัวนี้ลง กลายเป็นว่าน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าตัวไหนที่มีนิโคตินเยอะก็จะทำให้มีควันน้อย และน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าไหนมีนิโคตินน้อยก็จะได้ควันเยอะ

แล้วยิ่งสายนักดูดบุหรี่ไฟฟ้าที่เล่นควันเป็นอาชีพ ที่มีการโชว์ตามคลิปและรายการอันมากมายนั้น ก็จะต้องใส่สารโพรไพลีนไกลคอลนี้มากกว่าปกติ แล้วก็เป็นอย่างที่ทราบกันดีว่า อะไรที่มากไปก็ไม่ดี สารตัวนี้ถึงแม้ว่าจะได้รับอนุญาติจากกรมต่างๆแล้วว่าไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกายเท่าไหร่นัก แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเลย เพราะมันนั้นคือควันยังไงล่ะ ควันที่อนูเล็กมากๆ

เล็กว่าควันบุหรี่มวนซะอีก แล้วมันก็ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาควันเข้าตาหรือยิ่งกว่านั้นมันเข้าปอด และสามารถซึมเข้าปอดได้ลึกมากทีเดียว ตรงจุดนี้ทำให้ ควันมันจะสามารถนำพาสารอันตรายอื่นๆเข้าไปในปิดได้ลึกมากๆ

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสารที่นำไปประกอบกับอาหารและยาหลายชนิด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาใช้สูดดมอยู่บ่อยๆแบบนี้ อะไรก็ตามที่ได้มากเกินไปก็ทำให้ไม่ดีต่อร่างกายอยู่ดี เอาเป็นว่าลองดูกันระยะยาวๆว่าสารชนิดนี้จะไม่สะสมเป็นโรคอะไรก็ตามในร่างกายจริงหรือไม่

 

 

.ได้รับการสนับสนุนโดย  แทงหวยออนไลน์

การดูแลตนเองหากมีอาการป่วย 

วิธีการดูแลตนเองเบื้องต้นหากมีอาการเจ็บป่วยซึ่งในบางท่านอาจจะไม่มีคนดูแลก็สามารถกระทำได้โดยวิธีดังต่อไปนี้ 

คุณรู้หรือไม่ว่าการเป็นหวัดหรือการติดเชื้อในระบบของทางเดินการหายใจของเรานั้นหรืออาจจะเป็นโรคต่างๆก็ตามแต่เป็นตัวก่อให้เกิดสาเหตุของการไอด้วยกันทั้งสิ้นโดยการไอนั้นจะมีการแบ่งเป็นการไอแบบแห้งหรือการไอแบบมีเสมหะหรืออาจจะเป็นการไอแบบเรื้อรัง ได้เช่นกันซึ่งไม่ว่าจะเป็นการไอแบบไหนก็ตามก็สร้างความรำคาญให้แก่ผู้ที่เปลี่ยนได้เช่นกันเพราะบางคนเป็นมากถึงกับไอทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดไม่ว่าจะเป็นตามสถานที่ต่างๆก็ไม่สามารถห้ามการไอของตัวเองได้ดังนั้นวันนี้  สมัครเว็บหวยฮานอย  จะมาแนะนำวิธีการบรรเทาอาการไอให้ดีขึ้น หรือให้หายเร็วที่สุดนั่นเอง 

วิธีการดูแลตนเองหากมีอาการไอมีดังนี้ 

ควรดื่มน้ำให้มากๆ 

สำหรับท่านที่มีอาการไอมากท่านควรเริ่มจากการดื่มน้ำให้มากขึ้นหากในแต่ละวันถ้ามีการดื่มน้ำน้อยอยู่แล้วควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของท่านด้วยการทานน้ำให้เพิ่มขึ้นมากขึ้นกว่าเดิมอาจจะมีการค่อยค่อยเริ่มปรับก็ได้คือเพิ่มทีละนิดทีละนิดในแต่ละวันเดียวก็สามารถทานได้เยอะขึ้นได้เองคุณรู้หรือไม่ว่า คนที่มีเสมหะในลำคอน้ำที่เราดื่มไปเรานั้นจะเป็นการช่วยเพิ่มการละลายของเสมหะให้ลดลงแต่เขาว่าคนที่มีการไอแห้งแห้งน้ำนั้นก็จะเป็นการช่วยให้มีความชุ่มชื้นในลำคอเพื่อเพิ่มในการลดการระคายเคืองลดลงได้เช่นกันนอกจากนั้นจะช่วยในการไอยังเป็นการช่วยขับสารพิษในร่างกายได้อีกระดับหนึ่งด้วยนะ 

เราควรทานน้ำอุ่นมากกว่าน้ำเย็น 

อันที่จริงการดื่มน้ำที่มากขึ้นก็ดีขึ้นแล้วแต่การเลือกดื่มน้ำควรเลือกดื่มน้ำอุ่นมากกว่าน้ำเย็นคุณรู้หรือไม่ว่าน้ำอุ่นนั้น จะช่วยเป็นการทำให้ละลายเสมหะของเราได้เป็นอย่างดีและนอกจากนั้นมันยังเป็นการทำให้ลำคลองเรามีความชุ่มชื้นได้ดีกว่าการทานน้ำเย็นด้วยนะซึ่งนอกจากการดื่มน้ำอุ่นธรรมดาแล้วเรายังสามารถผสมกับน้ำผึ้งมะนาวเพื่อเป็นการทำให้ความชุ่มชื้นที่เขาอมีมากขึ้นเสียงก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน 

การอาบน้ำอุ่นในขณะที่เป็นหวัด 

เราจะเห็นได้ว่าน้ำเป็นตัวช่วยของเราด้วยกันทั้งสิ้นโดยเฉพาะน้ำอุ่นมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากกว่าน้ำเย็นด้วยซ้ำขนาดการอาบน้ำยังต้องใช้น้ำอุ่นเพื่อทำให้อุณหภูมิของร่างกายของเราอบอุ่นแถมยังเป็นการช่วยลดน้ำมูกที่เกิดขึ้นได้อีกด้วยนะสำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ควรอาบน้ำอุ่นเพราะมันดีต่อร่างกายของคนที่เป็นภูมิคุ้มกันต่ำ อีกด้วย          

อาหารสุขภาพ

  1. ขนมอบ เราไม่ควรเก็บเอาไว้ในตู้เย็นเพราะจะทำให้ขนมแข็งตัว เวลาเอาออกมาทานจะไม่อร่อย
  2. ฟังทองเทศ  การเก็บรักษาควรเก็บไว้ด้านนอกตู้เย็นเพียงแต่เก็บให้พ้นจากแสงแดดเท่านั้นพอ เพราะถ้าเอาเข้าตู้เย็นจะเสียง่ายกว่าและจะมีเชื้อราขึ้นเร็ว
  3. เนยถั่ว หากเอาเข้าตู้เย็นแล้วจะทำให้เนยถั่วแข็ง กินแล้วไม่อร่อย ซึ่งปกติแล้วคนที่ผลิตเนยถั่วเขาจะมีการกำหนดอายุในการเก็บรักษาเอาไว้อยู่แล้วว่าสามารถเก็บไว้ได้กี่วัน ดังนั้นการนำเข้าตู้เย็นจึงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะไม่สามารถยืดอายุของเนยถั่วได้
  4. ซีเรียล  การเก็บรักษาซีเรียสควรเอาไว้ด้านนอกตู้เย็นจะช่วยรักษาความกรอบของซีเรียสได้ดีกว่าการเอาไว้ในตู้เย็น เพราะนอกจากจะไม่อร่อยแล้ว ยังทำให้มีเชื้อราขึ้นซีเรียสได้เร็วอีกด้วย
  5. น้ำสลัด เราไม่จำเป็นต้องเปลืองพื้นที่ในตู้เย็นเพื่อเก็บน้ำสลัดเพราะน้ำสลัดมีส่วนผสมของน้ำส้มสายชูที่จะช่วยเรื่องของอาหารบูดช้าได้อยู่แล้ว
  6. แอปริคอต ผลไม้ชนิดนี้เอาไว้นอกตู้เย็นจะสามารถเก็บความชุ่มชื้นภายในของผลไม้ได้ดีกว่า หากเอาเข้าตู้เย็นจะทำให้เหี่ยวเร็ว และชำง่ายทานแล้วจะไม่อร่อย
  7. สมุนไพร การเก็บรักษาสมุนไพรเหล่านี้ทางที่ดีเอาต้นมาแช่น้ำจะดีที่สุดจะสามารถรักษาความสดของสมุนไพรไว้ได้แต่หากนำเข้าตู้เย็นแล้วจะทำให้สมุนไพรเหี่ยวเร็วเพราะความเย็นในตู้เย็นจะทำให้สมุนไพรคายน้ำ
  8. ผลไม้เมล็ดแข้ง การนำเข้าตู้เย็นจะทำให้ผลไม้พวกนี้สุกช้ากว่าปกติ การนำวางไว้นอกตู้เย็นจะช่วยให้ผลไม้เหล่านี้สุกตามธรรมชาติจะได้กินสุกได้เร็วกว่าเอาเข้าตู้เย็น
  9. ถั่ว หากนำเข้าตู้เย็นแล้วจะแข็ง และความอร่อยของถั่วจะหายไป เอาไว้นอกตู้เย็นก็สามารถเก็บไว้ได้นานอยู่แล้ว และที่สำคัญความอร่อยยังคงอยู่ด้วย
  10.  เมล่อน หากต้องการกินเลยควรปอกแล้วแช่ตู้เย็นสักพักค่อยนำออมารับประทานจะให้ความอร่อยและเย็นฉ่ำ แต่หากยังไม่กิน ไม่ควรนำลูกเมล่อนเข้าไปเก็บไว้ในตู้เย็นเพราะหากเก็บไว้ด้านนอกตู้เย็นเมล่อนจะสุกเร็วกว่า ความหวานและความสดใหม่ของเมล่อนจะอยู่นานกว่าอยู่ในตู้เย็น
  11. พวกเครื่องเทศ  ลักษณะของเครื่องเทศมักจะมีการตากแห้งเอาไว้หรือมักจะมีการบดเป็นผงแล้ว ดังนั้น การเก็บไว้นอกตู้เย็นจะเป็นการรักษาสภาพเดิมได้ดีกว่า หากนำเข้าตู้เย็นแล้วจะทำให้เกิดความชื้นซึ่งจะมีผลทำให้เกิดเชื้อราขึ้นได้
  12. แตงกวาดอก  ของดองส่วนใหญ่ไม่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นก็เป็นการยืดอายุการใช้งานอยู่แล้ว แต่หากเอาเข้าตู้เย็นอาจจะทำให้อาหารเสียได้ง่ายกว่าด้วยเพราะเชื้อราจะขึ้นเร็ว

 

สนับสนุนโดย  วิธีอยู่ร่วมกับคนติดเชื้อเอดส์

อาหารบำรุงผิวสำหรับวัย30+

คุณเคยกังวลเรื่องสุขภาพผิวของตัวคุณเองหรือไม่เมื่อคุณนั้นมีอายุแตะเลข3 หลายๆคนก่อนหน้านี้นั้นได้ปล่อยปะละเลยการดูแลผิวในช่วงของวัยรุ่น แต่เมื่อคุณอายุมากขึ้นจะถึงเมื่อวันที่อายุเข้าเลข3แล้วนั้น หากได้ลองไปส่องกระจกคุณจะเริ่มรู้สึกสังเกตถึงผิวของตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งผิวหน้า และผิวกาย สำหรับบางคนนั้นผิวมีความหมอกคล้ำและหย่อนคล้อย ไม่เต่งตึงเหมือนกับวัยหนุ่มสาว และวิธีที่ทุกคนต่างแก้ไขนั้นก็จะมีแต่การดูแลจากภายนอกและการศัลยกรรมเท่านั้น

แต่ทุกคนมักจะลืมว่าผิวนั้นก็เป็นส่วนประกอบของร่างกาย ที่ต้องการสารอาหารไปช่วยบำรุงเช่นเดียว แล้วจะมีแหล่งอาหารอะไรบ้างที่เหมาะสมกับการดูแลผิวสำหรับคนอายุ30+กันบ้างนั้นมีดังนี้

1.มะเขือเทศ และ น้ำมะเขือเทศ หลายๆคนมักไม่ชอบกลิ่นของมมะเขือเทศ แต่ก็อยากให้คุณได้ลองทานน้ำมะเขือเทศวันละ 1 แก้ว เพราะมะเขือเทศเป็นแหล่งรวมสารอาหารที่ดีต่อผิวมากๆอย่างวิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินซี วิตามินเค และสารไลโคปีน ที่มีประโยชน์ต่อผิว ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และช่วยให้ผิวสว่างขึ้น

2.น้ำมะพร้าว ควรรับดื่มน้ำมะพร้าวสดๆที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งหรือใส่น้ำตาล เพราะในน้ำมะพร้าวนั้นจะอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆทางธรรมชาติอย่างเช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ วิตามินบี และในน้ำมะพร้าวยังให้ความหวานจากน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายนั้นสามารถดูดซึมไปใช้งานอย่างมีประโยชน์ได้ภายในระยะเวลาประมาณ 5 นาทีได้ทันที ซึ่งแร่ธาตุเหล่านี้จะช่วยให้ผิวพรรณขาวใสมากขึ้น

3.โยเกิร์ตรสธรรมชาติ หลายคนไม่ชอบการทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติเพราะมีรสชาติเปรี้ยวกว่าโยเกิร์ตรสชาติอื่นๆ แต่อยากให้ได้ลอง เพราะในโยเกิร์ตจะรวมรวบสารอาหารไว้หลายชนิดเช่น วิตามินบี2 วิตามินบี5 วิตามินบี12 แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ไอโอดีน สังกะสี เป็นต้น ซึ่งจะช่วยบำรุงเซลล์ผิว ทำให้ผิวสวยจากภายในสู่ภายนอก ช่วยกระชับผิว

4.ชาเขียว ซึ่งได้มีงานวิจัยออกมาว่า ในชาเขียวนั้นมีสาร Epigallocatechin Gallate ซึ่งอาหารบำรุงผิวชั้นยอด และยังช่วยต้ายอนุมูลอิสระจำนวนมาก มีส่วนช่วยในการชะลอความแก่ชรา และความอ่อนเยาว์ รวมไปถึงการช่วยล้างสารพิษในร่างกายออกไป ลดการอักเสบของผิวที่เกิดจากสิวได้อีกด้วย

5.สาหร่ายทะเล ที่มีส่วนประกอบไปด้วยวิตามิน แคลเซียม และไอโอดีนเข้มข้น สามารถช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ แถมยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวและเส้นผมให้แข็งแรง ซึ่งได้มีงานวิจัยบอกว่ายังช่วยลดรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบางๆได้เป็นอย่างดี

 

ขอบคุณ  ชุดตรวจ hiv   ที่ให้การสนับสนุนบทความดีๆเหล่านี้

ผลไม้ที่คนท้องควรกิน…

ผลไม้กับคนท้องเป็นของที่คู่กันอย่างมาก เพราะนอกจากการกินผลไม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายของคนท้องแล้วยังส่งต่อผลประโยชน์ยังลูกในท้อง ผลไม้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์อีกทั้งกินแล้วไม่ส่งผลให้คุณแม่ที่กำลังตั้งท้องมีน้ำหนักเกินอีกด้วย วันนี้เราจะมาแนะนำว่าผลไม้อะไรบ้างที่ควรกินและมีประโยชน์

แอปเปิล :  เป็นผลไม้ที่หากินง่าย และสามารถหาซื้อกินได้ทุกฤดูเลยทีเดียว อีกทั้งราคาก็ไม่สูงเกินไปมากนัก ผลไม้ชนิดนี้เต็มไปด้วยเกลือแร่และวิตามิน สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดคอเลสเตอรอลให้กับร่างกายได้อีกด้วย

มะละกอสุก : การกินมะละกอสุก จะทำให้ได้รับสารอาหารอย่างมากมาย ทั้งวิตามิน  แคโรทีน โพแทสเซียม โฟเลต และแมกนีเซียม และที่สำคัญมะละกอสุกมีเส้นใยอาหารเยอะ กินแล้วจะช่วยเรื่องลดปัญหาท้องผูก และมะละกอยังหาซื้อกินได้ตลอดทุกฤดูกาลที่สำคัญราคาถูกหาซื้อได้ง่าย และบางบ้านก็ปลูกกินเองที่บ้านได้อีกด้วย

กล้วย : เป็นอีกผลไม้ที่หากินง่ายมาก แถมยังปลูกกินที่บ้านเองก็ยังได้ กินได้ทุกวัน กล้วยกินแล้วย่อยง่าย ท้องไม่ผูกอีกทั้งยังมมีสารอาหารหลายอย่าง ทั้งวิตามิน เอ  , บี 1 , บี 2 , บี6 และวิตามินซี รวมถึงยังมีฟอสฟอรัส การกินกล้วยจะช่วยทำให้คุณแม่ที่กำลังท้องไม่เครียดและอารมณ์ดีอยู่เสมอ

ส้ม :  อย่างที่ทราบกันดีว่าส้มมีวิตามินซีสูงมาก ดังนั้นการกินส้มจะช่วยเรื่องของการป้องกันการเป็นไข้หวัดและส้มยังมีเส้นใยสูงจะช่วยเรื่องของระบบขับถ่ายให้ถ่ายได้ดีท้องไม่ผูกอีกด้วย อีกทั้งส้มยังหาซื้อได้ง่าย และราคาไม่แพงมากนัก ดังนั้น หากคุณแม่ท่านไหนกินส้มบ่อยบ่อยจะช่วยให้คุณแม่แข็งแรงไม่ป่วยงานอีกด้วย

มะพร้าว :  เชื่อไหมว่าคุณแม่ส่วนใหญ่มักจะกินน้ำมะพร้าว เพราะมีความเชื่อว่าจะช่วยให้คลอดลูกง่าย แต่อันที่จริงแล้ว น้ำมะพร้าวมีสารอาหารสูง และยังมีกลูโคสและแคลเซียม อีกทั้งช่วยดับกระหายและลดการอ่อนเพลียได้ดีมากมาก

แตงโม : การกินแตงโมจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น แตงโมหาซื้อง่ายกินอร่อย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยโพแทสเซียมซึ่งจะมาช่วยเรื่องของการลดความเสี่ยงในเรื่องความดันเลือด 

เห็นไหมคะว่าผลไม้แต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง สามารถลดอาหารกินระหว่างวันก็ได้ ทั้งกินแล้วอิ่มและยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรงไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายอีกด้วย

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ชุดตรวจ hiv

หน้าหนาวป่วยง่าย สุขภาพร่างกายต้องระวัง

แพทย์อายุรเวช โรงพยาบาลหัวเฉียว ไขปัญหาให้ฟังว่า เมื่อเข้าสู่หน้าหนาว สถานการณ์โอบล้อมของอุณหภูมิกลางอากาศที่เปลี่ยนไป อาจทำให้ร่างกายปรับพฤติกรรมไม่ทันจนกระทั่งนำไปสู่โรคได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น โดยโรคที่พบบ่อยในตอนหน้าหนาว มี 4 โรคใหญ่ๆ ดังนี้

1. โรคระบบทางเดินหายใจ เมื่อไล่ลำดับของโรคที่เผชิญได้บ่อยมากที่สุดในตอนหน้าหนาว คงจะหนีไม่พ้นไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ โดยความไม่เหมือนของทั้งคู่สามารถแยกได้จากอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกาย

– หวัดธรรมดา จะมีการไอ จาม น้ำมูกไหล คันคอ เจ็บคอ ไข้มักไม่ขึ้นสูง ภาวะแทรกซ้อนไม่ร้ายแรง การดูแลรักษาเป็นการดูแลร่างกายให้อบอุ่น กินน้ำ จิบน้ำบ่อยๆ พักผ่อนให้พอเพียง ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ยาปฏิชีวนะหรือยาที่ใข้เพื่อการฆ่าเชื้อ

– ไข้หวัดใหญ่ มีลักษณะเมื่อยกล้ามเนื้อ ไข้สูงมากกะทันหันร่วมด้วย การดูแลและรักษาจะใช้ยาสำหรับใช้ในการฆ่าเชื้อไวรัส บวกกับการดูแลรักษาตามอาการให้ดีขึ้น ถ้าเกิดเป็นกรุ๊ปเสี่ยง ได้แก่ เด็กตัวเล็กๆอายุน้อยกว่า 2 ปี หรือคนแก่แก่กว่า 65 ปี ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคถุงลมโป่งพองเรื้อรัง โรคหอบหืด เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต ชี้แนะให้ฉีดยาป้องกันไข้หวัดใหญ่คุ้มครองป้องกันไว้ก่อน ยิ่งไปกว่านี้ผู้เจ็บป่วยควรจะใส่หน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไปสู่คนอื่นๆ ด้วย

– โรคหลอดลมอักเสบ มีลักษณะอาการไอแห้งๆ เรื้อรัง อาจมีไข้ต่ำๆ รวมทั้งเสียงที่แหบขึ้น ต้นสายปลายเหตุโดยมากมีเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งได้ผลข้างเคียงมาจากหวัด การดูแลและรักษาก็ คือ ดูแลตัวเองเช่นกัน แต่ว่าถ้าเชื้อขยายไปสู่ปอด ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะไข้ หอบ รวมทั้งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีสภาวะพร่องออกซิเจน บางรายอาจมีน้ำในเยื่อห่อหุ้มปอดที่จำเป็นจะต้องเจาะระบายน้ำออกเพื่อการดูแลรักษา โรคนี้มักเกิดกับผู้ที่มีประวัติหรือโรคร่วมอื่นๆ เสี่ยง ตัวอย่างเช่น ในหมู่คนไข้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้เจ็บป่วย รวมทั้งกลุ่มชนที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์บ่อยๆ ความอันตรายของโรคอยู่ที่ภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ที่อาจก่อให้อาการทรุดลง จะต้องรีบไปพบหมอแต่เนิ่นๆ

2. โรคที่เกิดขึ้นและมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส เป็นโรคติดต่อในกรุ๊ปของโรคหัด โรคหัดเยอรมัน รวมทั้งอีสุกอีใส เชื้อโรคที่เป็นบ่อเกิดนั้นแพร่อยู่กลางอากาศเหมือนกับหวัด แม้กระนั้นจะมีลักษณะระบุที่เพิ่มเข้ามา ดังนี้
– โรคหัด มีลักษณะอาการไอ เคืองตา ตาแดง ในปากจะมีผื่นหรือตุ่มเล็กๆ ร่วมกับมีผื่นแดงที่จะเริ่มจากบริเวณใบหน้า ลุกลามมาที่คอ ลำตัว กระทั่งไปถึงขา เชื้อแพร่ผ่านการไอ จาม หรือหายใจรดกันเหมือนกันกับหวัด การดูแลรักษาโรคจะรักษาตามอาการ ตัวอย่างเช่น ให้ยาลดไข้ ยาใช้ภายนอกแก้ผื่นคัน ตอนนี้มีวัคซีนคุ้มครองที่ฉีดตั้งแต่วัยเด็ก 9 – 12 เดือน แต่ว่าถ้ามีลักษณะควรจะรีบเจอหมอโดยทันที เพราะบางรายอาจมีอาการเข้าแทรก
– โรคหัดเยอรมัน ลักษณะของโรคเหมือนหัด แม้กระนั้นจะมีผื่นเล็กๆ สีชมพูอ่อนกระจัดกระจายไปทั่ว เริ่มจากหน้าผาก ชายผม รอบปาก รวมทั้งเป็นไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย เชื้อแพร่ผ่านการไอ จาม หรือหายใจรดกันเหมือนกันกับหวัดหรือฝึกฝนอันตรายของโรคนี้ถ้ากำเนิดกับหญิงมีครรภ์ 3 เดือนแรกอาจส่งผลให้ลูกในท้องทุพพลภาพได้ แพทย์อาจต้องพิจารณายุติการตั้งครรภ์

– อีสุกอีใส เริ่มจากเป็นไข้ต่ำๆ เมื่อยล้า เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว รวมทั้งมีตุ่มนูนแดงขึ้น ถัดมาตุ่มน้ำจะเริ่มเป็นตุ่มหนองก่อนที่จะเป็นสะเก็ด ใช้เวลาทั้งปวงราวๆ 2 อาทิตย์ ระยะติดต่อจะอยู่ในตอนของการเกิดตุ่มน้ำ ก็เลยไม่สมควรสัมผัสถูกผู้เจ็บป่วยหรือสิ่งของที่เลอะตุ่มน้ำ การดูแลรักษาหมอจะรักษาตามอาการ และก็คนป่วยที่เคยเป็นโรคนี้แล้วจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีพ

3. โรคผิวหนังอักเสบ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังแห้ง แตก เป็นสะเก็ด หรือขี้กลาก โรคเกลื้อน ที่เกิดขึ้นจากเชื้อราซึ่งเติบโตดีในฤดูหนาว วิธีการป้องกัน คือ การทาครีมบำรุงเพื่อคุ้มครองปกป้องผิวแห้ง กินน้ำแล้วก็รับประทานผลไม้เพิ่มขึ้นเพื่อรักษาความชื้นของผิวดูแลข้างในรวมถึงภายนอกด้วยการเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ หรือมีกลิ่นเหม็นอับเปียกชื้น ถ้ากำเนิดลักษณะของขี้กลากหรือโรคเกลื้อน สังเกตได้ว่า ผิวหนังแห้งเป็นวง มีขุยขาวๆ ผื่นคัน รอบๆข้างหลัง ลำตัว แขน ขาหนีบ ควรจะรีบไปพบหมอ

4. โรคระบบทางเดินอาหาร เป็น อุจจาระร่วง ท้องร่วง จะพบได้มากในตอนหน้าหนาวโดยยิ่งไปกว่านั้นเชื้อโรต้าเชื้อไวรัส ซึ่งพบได้มากในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ อาการโรคจะไม่เหมือนกับท้องเดินทั่วๆไป เป็น ถ่ายบ่อยครั้ง หรือถ่ายเป็นน้ำ มีลักษณะอาการไข้ หมดแรงหรือคลื่นไส้ร่วมด้วย รวมทั้งมีลักษณะขาดเกลือแร่หรือน้ำภายในร่างกายมากยิ่งกว่าคนป่วยที่เป็นของกินเป็นพิษทั่วๆไป แม้มีลักษณะดังกล่าวควรจะรีบไปพบหมอ การป้องกัน คือ ทานอาหารที่สุก สะอาด หากอยู่สนิทสนมคนไข้ให้ล้างมือเสมอๆ

ถึงแม้ฤดูหนาวจะแอบแฝงไว้ด้วยโรคภัยต่างๆ แต่ว่าพวกเราสามารถดูแลตัวเองเพื่อจัดการกับเชื้อโรคได้ตามหนทาง ดังเช่นว่า ล้างมือให้สะอาด รับประทานร้อน ช้อนกลาง เลี่ยงการอยู่ในที่คับแคบหรืออากาศไม่ระบาย เนื่องจากว่าบางทีอาจจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดต่อโรคทางเดินหายใจ ในทางตรงกันข้ามถ้าพวกเราเป็นผู้เจ็บป่วย ก็จะต้องใส่หน้ากากอนามัย อย่าไอจามรดบุคคลอื่น กินน้ำมากๆ พักให้พอเพียง แล้วรักษาร่างกายให้แข็งแรง รวมทั้งอบอุ่นร่างงกายอยู่เป็นประจำ เพียงแค่นี้ก็ไกลห่างจากโรคที่มากับอากาศหนาวได้แล้ว

สำลักบ่อย กลัวเป็นกรดไหลย้อน

สำลักน้ำลายตัวเองบ่อย สะอึกน้ำลายตัวเองบ่อย แสบคอเมื่อสำลักหรือสะอึก เสี่ยงเป็นกรดไหลย้อนรึเปล่านะ หรือว่าเราจะเป็นกรดไหลย้อนอย่างไรก็ตาม อาการสำลัก นั้นสาเหตุหลายอย่างที่ควรพิจารณา

1. อาการสำลัก จากความผิดปกติของระบบประสาท
อาการสำลึก อาจเกิดขึ้นได้จากความผิดปกติทางระบบประสาท หรืออาการทางสมองประกอบ เช่น อัลไซเมอร์ หรือสมองเสื่อม เส้นเลือดสมองตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ดังนั้นหากคุณเป็นโรคดังกล่าวและมีความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาหรือแก้ไขให้ดีขึ้น

2. อาการสำลัก จากความผิดปกติของทางเดินอาหาร
ทั้งนี้จะเกิดขึ้นที่ส่วนไหนของทางเดินอาหาร จะต้องสังเกตว่าเป็นส่วนไหน โดยสังเกตจากระยะเวลาที่ทานอาหารหรือดื่มน้ำเข้าไปกี่นาทีถึงจะมีอาการสำลักเกิดขึ้น หรือทานอาหารอะไรถึงมีอาการสำลักมาก เช่น ทานเหนียวสวยอาจสำลัก แต่ข้าวต้มอาจไม่สำลัก

คราวนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นกรดไหลย้อนหรือไม่ ควรสังเกตจากอะไร ต้องสังเกตว่ามีอาการ เหล่านี้ เกิดขึ้นบ้างหรือไม่ เช่น เมื่อสำลักในตอนกลางคืน ไม่ใช่เพียงแค่สำลักแต่มีอาการแสบกลางหน้าอกเกิดขึ้นตามมา และในเวลาปกติตอนกลางวัน อาจรู้สึกคล้ายกับมีก้อนในคอ หรือแน่นๆ คอ รู้สึกติดขัดเมื่อกลืนอาหาร รวมไปถึงรู้สึกว่ามีเสมหะอยู่ในลำคอตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นคนที่สำลักบ่อยมาก หรือสะอึกบ่อยๆ จนกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญในชีวิต อย่าปล่อยไว้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจทางเดินอาหาร เพื่อดูว่ามีก้อน หรือสิ่งแปลกปลอมอุดตันทางเดินอาหารอยู่หรือไม่ แพทย์อาจใช้วิธีเอกซ์เรยพิเศษ โดยให้กลืนแป้งเพื่อดูการเคลื่อนตัวของหลอดอาหาร

รู้ทันสาเหตุของโรคหนองใน

รู้ทันสาเหตุของโรคหนองใน
หนองใน เป็นชื่อเรียกของการที่เราได้รับเชื้อหรือติดเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ไนซีเรีย โกโนเรียอี (Neisseria gonorrhoeae) หรือรู้จักกันดีในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘โกโนค็อกคัส’ (Gonococcus) เชื้อนี้จะสามารถตรวจพบได้เลยตามที่น้ำอสุจิและสารน้ำในช่องคลอด และที่สำคัญเลย คือ สามารถติดต่อหรือส่งต่อกันได้จากการมีเพศสัมพันธ์ โดยแบคทีเรียชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ในระบบอวัยวะสืบพันธุ์ต่างๆ ของคน ไม่ว่าจะเป็นปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก ท่อปัสสาวะในฝ่ายหญิง และระบบสืบพันธุ์ของฝ่ายชาย เพราะเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ชอบในที่ชื้นและที่อบอุ่น นอกจากนี้ในบริเวณอื่นๆ เช่น ทวารหนัก เยื่อบุตา ช่องปากคอ เป็นต้น มันก็สามารถเจริญเติบโตได้ดีทีเดียว

พฤติกรรมที่ทำให้เกิดการติดเชื้อหนองใน
– มีเพศสัมพันธุ์กับผู้ติดเชื้อหรือคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่สามี ภรรยา หรือแฟน โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะทางไหน ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องเสร็จก็สามารถติดเชื้อได้
– เกิดติดเชื้อจากมารดาไปสู่ทารกในระหว่างคลอดผ่านการสัมผัสเชื้อโดยตรง โดยในสตรี เชื้อจะสามารถแพร่จากช่องคลอดไปสู่ทวารหนักได้เองโดยไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก

พฤติกรรมที่ไม่ทำเกิดการติดเชื้อหนองใน
– การจับมือ
– การกอด
– การจูบ
– การใช้แก้วน้ำ จาน ชามร่วมกัน
– การใช้ห้องน้ำ หรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
– การนั่งฝาโถส้วม
– การใช้สระว่ายน้ำร่วมกัน
เพราะเชื้อแบคทีเรียของโรคหนองในจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสระว่ายน้ำ หรือในโถส้วม คนปกติทั่วไปจุงไม่สามารถติดเชื้อได้ ส่วนการมีเพศสัมพันธ์แบบภายนอกโดยการใช้มือ หรือนิ้วช่วย ยังไม่มีประวัติหรือค้นพบว่าสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อหรือส่งต่อเชื้อได้
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อหนองใน คือ กลุ่มวัยรุ่น ผู้ติดยาเสพติด ผู้ที่มีคู่นอนมากกว่า 1 คน ผู้ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยในขณะมีเพศสัมพันธ์ ผู้ที่เคยเป็นโรคนี้มาแล้ว หรือเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ อาทิ โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นต้น
ระยะฟักตัวของโรค : หลังจากที่ได้รับเชื้อ ก็มักจะแสดงอาการภายใน 2 – 10 วัน แต่โดยทั่วไปแล้วจะแสดงอาการภายใน 5 วัน