ความรู้เกี่ยวกับเล็บ

เล็บมือและเล็บเท้าเป็นส่วนสำคัญของร่างกายมนุษย์ที่ช่วยปกป้องปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าจากการบาดเจ็บ เล็บสร้างขึ้นจากโปรตีนที่เรียกว่าเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนเดียวกับที่พบในผมและผิวหนัง  

เล็บคือหน้าตาของคนเราเช่นเดียวกัน หากเราไม่ดูแล รักษาทำความสะอาดเล็บให้ดี เมื่อเล็บสกปรกก็จะแลดูไม่น่ามองที่สำคัญ ยังเป็นแหล่งเพาะพันธ์ของเชื้อโรคได้อีกด้วย  หากเราดูแลรักษาความสะอาดของเล็บก็จะส่งผลให้สุขภาพของเราดีได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับเล็บ เรามาทำความเข้าใจเกียวกับรายละเอียดของเล็บกันเถอะ

 โครงสร้างของเล็บ

  1. เล็บ (Nail Plate)
  2. เนื้อใต้เล็บ (Nail Bed)
  3. ลูนูลา (Lunula)
  4. แมทริกซ์เล็บ (Nail Matrix)
  5. จมูกเล็บ (Cuticle)
  6. เนื้อเยื่อรอบเล็บ (Perionychium)
  7. รากเล็บ (Nail Root)

อย่างไรก็ตาม  hoiana casino    เราสามารถที่จะทำการสังเกตว่าเล็บมือของเรามีสุขภาพดีหรือไม่ สามารถพิจารณาได้จากหลายลักษณะดังต่อไปนี้:

 ลักษณะของเล็บที่สุขภาพดี

  1. สีเล็บ   ควรมีสีชมพูอ่อนๆ อย่างสม่ำเสมอ     ไม่ควรมีจุดหรือเส้นสีดำ, สีขาว หรือสีเหลืองที่ผิดปกติ
  2. พื้นผิวเล็บ เรียบและสม่ำเสมอ   ไม่มีลักษณะเป็นหลุมหรือเป็นคลื่น   ไม่มีรอยแตกหรือแยกของเล็บ
  3. ความแข็งแรง   เล็บควรมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ไม่เปราะหรือหักง่าย
  4. จมูกเล็บ   จมูกเล็บ (cuticle) ควรเป็นชั้นผิวหนังบางๆ ที่แนบสนิทกับฐานเล็บ   ไม่ควรมีอาการบวมแดง หรือเจ็บปวดบริเวณจมูกเล็บ
  5. การเจริญเติบโตของเล็บ เล็บควรเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความยาวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 3-4 มม. ต่อเดือน

 สัญญาณที่บ่งบอกถึงเล็บที่ไม่สุขภาพดี

  1. สีผิดปกติ

   – เล็บมีสีเหลือง เขียว หรือดำ

   – มีจุดสีขาวหรือเส้นขาวเกิดขึ้นที่เล็บ

  1. พื้นผิวผิดปกติ

   – เล็บเป็นหลุม เป็นคลื่น หรือเป็นรอยแตก

   – เล็บบางหรือเปราะง่าย

  1. ลักษณะการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ

   – เล็บไม่เจริญเติบโตหรือหยุดยาว

   – มีการหดตัวหรือเปลี่ยนรูปทรงของเล็บ

  1. การติดเชื้อหรืออักเสบ

   – บริเวณจมูกเล็บมีอาการบวม แดง หรือเจ็บปวด

   – มีการติดเชื้อราหรือแบคทีเรีย ทำให้เล็บมีกลิ่นหรือเกิดหนอง

 

การดูแลเล็บเพื่อสุขภาพที่ดี

– รักษาความสะอาด ล้างมือและเล็บให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ

– ตัดเล็บให้ถูกวิธี ตัดเล็บให้เป็นแนวตรงและไม่สั้นเกินไป

– ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุง ใช้ครีมหรือน้ำมันบำรุงเล็บเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

– หลีกเลี่ยงสารเคมี สวมถุงมือเมื่อต้องสัมผัสสารเคมีหรือน้ำเป็นเวลานาน

– ไม่กัดเล็บ หลีกเลี่ยงการกัดเล็บเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการเสียหายของเล็บ

 

การดูแลเล็บและการสังเกตเล็บอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยให้เรารักษาสุขภาพเล็บให้อยู่ในสภาพที่ดีและป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

วิธีการกินแก้วมังกร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด 

การรับประทานแก้วมังกร (Dragon Fruit หรือ Pitaya) เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนสามารถทำได้หลายวิธี โดยเนื้อของแก้วมังกรมีลักษณะนุ่มและมีเมล็ดเล็กๆ ที่สามารถรับประทานได้ แก้วมังกรมีหลายสายพันธุ์และสี ได้แก่ สีขาว (Hylocereus undatus) สีแดง (Hylocereus costaricensis) และสีเหลือง (Hylocereus megalanthus) ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีคุณประโยชน์และสารอาหารที่แตกต่างกันออกไป

วิธีการกินแก้วมังกร

  1. การเตรียมผลไม้: เริ่มจากการล้างแก้วมังกรให้สะอาด ใช้มีดตัดขั้วออก แล้วผ่าครึ่งตามยาว จากนั้นใช้ช้อนตักเนื้อออก หรืออาจใช้มีดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อรับประทานได้ง่ายขึ้น
  2. การรับประทานดิบ: การรับประทานแก้วมังกรแบบสดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคงคุณค่าสารอาหาร เนื่องจากไม่ต้องผ่านความร้อนที่อาจทำลายวิตามินและสารอาหารบางชนิด แก้วมังกรมีรสชาติหวานเบา ๆ และเนื้อสัมผัสที่นุ่ม
  3. การทำสมูทตี้หรือสลัด*: คุณสามารถนำเนื้อแก้วมังกรไปทำสมูทตี้หรือสลัดผลไม้ร่วมกับผลไม้อื่น ๆ การทำสมูทตี้ช่วยให้รับประทานง่าย และยังเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มวิตามินและเกลือแร่จากผลไม้อื่น ๆ อีกด้วย
  4. การทำของหวานหรือเครื่องดื่ม: แก้วมังกรสามารถนำไปใช้ทำของหวาน เช่น พุดดิ้ง เจลลี่ หรือไอศกรีม นอกจากนี้ยังสามารถคั้นน้ำแก้วมังกรเพื่อทำเป็นเครื่องดื่มสดชื่นได้

คุณประโยชน์ของแก้วมังกรแต่ละสี

  1. แก้วมังกรเนื้อขาว 

 – สารต้านอนุมูลอิสระ: แก้วมังกรเนื้อขาวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดความเสียหายต่อเซลล์และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ

   – ไฟเบอร์สูง: เนื้อแก้วมังกรขาวมีไฟเบอร์สูง ช่วยในการย่อยอาหารและลดระดับคอเลสเตอรอล

   – วิตามิน C: แก้วมังกรขาวเป็นแหล่งของวิตามิน C ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย

  1. แก้วมังกรเนื้อแดง 

– เบตาเลนส์ (Betalains): แก้วมังกรเนื้อแดงมีสารเบตาเลนส์ที่ให้สีแดงเข้ม ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าแก้วมังกรขาว เบตาเลนส์ยังมีส่วนช่วยลดการอักเสบและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

   – วิตามิน A: แก้วมังกรแดงเป็นแหล่งของวิตามิน A ที่ช่วยในการมองเห็นและการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนัง

 – ธาตุเหล็ก: แก้วมังกรแดงมีธาตุเหล็กสูง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลิตเม็ดเลือดแดงและการขนส่งออกซิเจนในร่างกาย

  1. แก้วมังกรเนื้อเหลือง 

– วิตามิน E: แก้วมังกรเหลืองมีวิตามิน E ที่มีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและส่งเสริมสุขภาพผิว

   – แมกนีเซียม: เนื้อแก้วมังกรเหลืองมีแมกนีเซียมสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมทั้งช่วยในการทำงานของระบบประสาท

   – คาร์โบไฮเดรต: แก้วมังกรเหลืองมีคาร์โบไฮเดรตธรรมชาติที่เป็นแหล่งพลังงานที่ดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานในการทำกิจกรรม

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    Hoiana Casino